วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ต้องการเริ่มต้นทำโครงการ carbon credits ต้องเตรียมอะไร..

มีที่ดินและต้องการเริ่มต้นทำโครงการ carbon credits จะเริ่มยังไง...


การทำ Credit Carbon หรือการซื้อขายเครดิตคาร์บอน (carbon credits) เป็นวิธีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการลดการปล่อยก๊าซในโครงการต่างๆ และแลกเปลี่ยนเป็นเครดิตคาร์บอนที่สามารถขายให้กับองค์กรที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตัวเองได้ 

หากคุณมีที่ดินและต้องการเริ่มต้นทำโครงการ carbon credits นี่คือขั้นตอนที่อาจช่วยได้:

1. ศึกษาและวางแผน

-ศึกษาตลาด : ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดเครดิตคาร์บอน และมาตรฐานที่ใช้ เช่น Verified Carbon Standard (VCS) หรือ Gold Standard

-ประเมินที่ดิน : ตรวจสอบว่าที่ดินของคุณเหมาะสำหรับโครงการประเภทไหน เช่น การปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือการจัดการป่าไม้

2. เลือกโครงการที่เหมาะสม

-ประเภทโครงการ : เลือกประเภทของโครงการที่เหมาะกับที่ดิน เช่น การปลูกป่าใหม่ (reforestation) หรือการอนุรักษ์ป่าไม้ (forest conservation)

-ศึกษาโครงการที่คล้ายกัน : เรียนรู้จากโครงการที่ประสบความสำเร็จเพื่อให้คุณเข้าใจความต้องการและขั้นตอนต่างๆ เพื่อนำมาปรับแผนและแนวทางที่คุณเตรียมไว้

3. พัฒนาผลการศึกษา (Feasibility Study)

-วิเคราะห์ความเป็นไปได้ : ตรวจสอบความเป็นไปได้ของโครงการจากด้านเทคนิคและการเงิน ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ

-วางแผนการดำเนินงาน : สร้างแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมถึงการจัดการที่ดินและการตรวจสอบ

เริ่มต้นทำโครงการ carbon credits

4. สมัครเข้าร่วมมาตรฐาน

-เลือกมาตรฐาน : ตัดสินใจว่าจะใช้มาตรฐานไหนในการรับรองเครดิตคาร์บอน เช่น VCS , Gold Standard หรือ TGO (ตลาดคาร์บอน) ของ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

-สมัครแลส่งเอกสาร : เตรียมเอกสารและยื่นคำร้องเพื่อเข้าร่วมมาตรฐานที่เลือก หรือ หน่วยงานต่างๆที่เปิดให้เข้าร่วมโครงการ

5. ดำเนินการโครงการ

-เริ่มดำเนินการ  ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เช่น การปลูกต้นไม้ การจัดการพื้นที่

-ตรวจสอบและรายงาน จัดเตรียมรายงานผลการดำเนินงาน และให้หน่วยงานที่ได้รับรองตรวจสอบ

6. ออกใบรับรองเครดิตคาร์บอน

-ตรวจสอบ : ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่ได้รับรอง

-ออกใบรับรอง : รับใบรับรองเครดิตคาร์บอนที่สามารถขายได้ในตลาด

7. ขายเครดิตคาร์บอน

-ตลาดและพันธมิตร  หาตลาดหรือพันธมิตรที่สนใจซื้อเครดิตคาร์บอนของคุณ

-การตลาด  โปรโมทเครดิตคาร์บอนของคุณและทำการเจรจาต่อรอง
    เนื่องด้วยการทำโครงการ Credit Carbon สามารถช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเป็นแหล่งรายได้เพิ่มเติม แต่ต้องใช้เวลาและการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้.

เริ่มต้นทำโครงการ carbon credits 

มีพื้นที่ไม่ถึง 10 ไร่ จะปลูกต้นไม้ทำคาร์บอนเครดิตคุ้มค่า น่าลงทุนหรือไม่?

จากกรณีที่มีข่าวการขายคาร์บอนเครดิตจากการปลูกต้นไม้หรือปลูกป่าที่ได้ราคาสูง ทำให้เป็นที่น่าสนใจในเรื่องของการลงทุนในตลาดคาร์บอนเครดิต แต่ชาวบ้านธรรมดาก็อยากได้คาร์บอนเครดิตไว้เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับตัวเองและครอบครัว แต่ติดตรงที่เงื่อนไขของโครงการ T-VER ประเภทการปลูกป่า ที่จะต้องมีพื้นที่ตั้งแต่ 10 ไร่ขึ้นไป โดยสามารถนำหลายๆ แปลงมารวมกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผืนหรือแปลงเดียวกัน ซึ่งนำมาดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต T-VER ได้ แต่พื้นที่เพียง 10 ไร่ สามารถผลิตคาร์บอนเครดิตได้มากพอ และคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ดังนั้นหากต้องการที่จะผลิตคาร์บอนเครดิตได้จำนวนมากๆ และคุ้มทุนต้องมีพื้นที่ปลูกต้นไม้แค่ไหน วันนี้ TGO มีคำตอบ
    TGO ได้กำหนด ลักษณะโครงการแบบควบรวม (Bundling Project) คือ โครงการที่มีลักษณะการดำเนินโครงการแบบเดียวกันใช้ระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจก (Methodology) เดียวกัน ระยะเวลาคิดเครดิตเท่ากัน แต่สามารถมีพื้นที่โครงการหลายๆ แห่ง หลายๆ เจ้าก็ได้ กล่าวคือ พื้นที่การดำเนินโครงการ T-VER ไม่จำเป็นต้องติดกัน พื้นที่อยู่ห่างกันก็สามารถรวบรวมและพัฒนาเป็นโครงการ T-VER ได้ ซึ่งชาวบ้านอาจต้องรวมกลุ่มหรือจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ทำการรวบรวมพื้นที่ของสมาชิก ทำแผนผังพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ และจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER ทำการตรวจสอบความใช้ได้ของเอกสารโดยผู้ประเมินภายนอกและยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนให้กับ TGO แต่ในช่วงแรกชาวบ้านจะยังไม่ได้คาร์บอนเครดิต ชาวบ้านจะมีคาร์บอนเครดิตก็ต่อเมื่อดำเนินการตามระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ TGO กำหนดและยื่นขอรับรองคาร์บอนเครดิตกับ TGO
อีกครั้งเท่านั้น

เริ่มต้นทำโครงการ carbon credits

    ส่วนราคาขายคาร์บอนเครดิตภายในประเทศไทย จากโครงการคาร์บอนเครดิตประเภทการปลูกป่า ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 55 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสูงสุดอยู่ที่ 3,000 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งท่านคงเห็นแล้วว่าต้องมีพื้นที่ดำเนินโครงการมากขนาดไหนจึงจะคุ้มค่า ส่วนเรื่องที่ต้องปลูกต้นไม้กี่ต้นและแต่ละต้นจะได้คาร์บอนเครดิตเท่าไหร่ ซึ่งการคำนวณการประเมินการกักเก็บคาร์บอนภายใต้โครงการ T-VER ของ TGO จะสามารถใช้กรณีจากการนับจำนวนต้นไม้ได้ จะใช้สำหรับพื้นที่ที่มีขนาดแปลงย่อยไม่เกิน 30 ไร่ และรวมพื้นที่ทั้งโครงการไม่เกิน 1,000 ไร่ โดยสามารถใช้อัตราการเพิ่มพูนปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเท่ากับ 9.5 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ต่อต้นต่อปี นั้นคือ ต้องปลูกต้นไม้ 106 ต้น ถึงจะได้คาร์บอนเครดิต 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

เริ่มต้นทำโครงการ carbon credits

    TGO มีกรณีศึกษาลักษณะโครงการแบบควบรวม คือ โครงการธนาคารคาร์บอนสีเขียวบ้านท่าลี่ อ.หนองเรือ และบ้านแดง อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ที่ชาวบ้านในชุมชนได้รวมพื้นที่คนละแปลงสองแปลง จาก 41 ราย จำนวนพื้นที่รวม 365.30 ไร่ และดำเนินกิจกรรมปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ วัดคาร์บอนเครดิตจากต้นไม้ และขอรับรองคาร์บอนเครดิตกับ TGO แล้วในช่วงเวลา 3 ปี ได้จำนวนคาร์บอนเครดิต 401 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากจำนวนต้นไม้ 14,072 ต้น จะเห็นได้ว่าโครงการคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่านั้นชาวบ้าน คนธรรมดาที่มีพื้นที่ไม่มากก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องมีเงินลงทุนและมีความรู้เรื่องการจัดทำเอกสารการขอขึ้นทะเบียนและรับรองคาร์บอนเครดิต และที่สำคัญคือความสามัคคีของคนในชุมชนที่จะร่วมมือกันดูแลแหล่งดูดซับ/กักเก็บก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ชุมชนตลอดอายุโครงการ ซึ่งชาวบ้านจะสามารถใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าจากป่าได้อย่างยั่งยืน โดยคาร์บอนเครดิตจะเป็นเพียงผลพลอยได้หรือส่วนเพิ่มจากกิจกรรมดูแลป่านั้นเอง

--------------------------------------------------------------

อ้างอิง:

#องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

เขียนและเรียบเรียง

พีรพงษ์ ปาฐะเดชะ PA. MBA.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น