กรณีโฉนดที่ดินที่ติดข้อกำหนดห้ามโอนในระยะเวลา 5 ปี หรือ 10 ปี (หรือที่เรียกว่าโฉนดหลังแดง)
จะทำการจะซื้อจะขายกันได้หรือไม่.....
โฉนดหลังแดง.... คืออะไร (แล้วทำไมต้องหลังแดง)
ถึงแม้การซื้อขายโฉนดครุฑแดงจะ ถูกต้องตรงตามกฎหมายตามที่มีการปฏิบัติกัน แต่ก็ยังมีข้อควรระวังเป็นพิเศษ ในกรณีที่ผู้ซื้อผู้ขายจำเป็นต้องตรวจสอบโฉนดก่อนทุกครั้งก่อนโอนกรรมสิทธิ์ เพราะยังมีโฉนดครุฑแดงอีกลักษณะหนึ่ง
ที่ถึงแม้เป็นโฉนดที่ดินจริงๆ (น.ส.4 ) ก็ยังไม่สามารถโอนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ได้เลยทันที นั้นคือ (โฉนดหลังแดง) นั่นก็คือ
ซื้อขายจ่ายเงินกันแล้วแต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนชื่อหลังหลังโฉนดกันได้นั่นเอง
ดังนั้นโฉนดที่ดินประเภทนี้ เรียกว่า “โฉนดหลังแดง” คือโฉนดที่ดินครุฑแดง (น.ส.4 )
ที่ด้านหลังมีอักษรสีแดง เขียนระบุไว้ชัดเจน ว่า “ห้ามโอนภายใน ( 5 ปี หรือ 10 ปี ) ตามมาตรา 58
ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน นับตั้งแต่วันที่ เดือน ปี”
และมีเจ้าพนักงานสำนักงานที่ดินลงนามรับรองไว้เป็นหลักฐาน
ภายในเงื่อนไขเวลาและวันที่ให้ไว้
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๓๑ โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ได้ออกสืบเนื่องมาจากใบจองตาม มาตรา ๓๐ และ มาตรา ๓๓ ห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นในกรณี ดังต่อไปนี้ (ห้ามโอน)
๑. ถ้ากรณีที่ได้ออกใบจองในหรือหลัง วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ห้ามโอนภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (ห้ามโอน ๑๐ปี)
๒. ถ้าเป็นกรณีที่ได้ออกใบจองก่อนวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เฉพาะที่รัฐให้การช่วยเหลือในด้านสาธารณูปโภคและอื่นๆ เนื่องจากการจัดที่ดินห้ามโอนภายในกำหนดห้าปี นับแต่วันได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (ห้ามโอน ๕ปี)
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๓๑ โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ได้ออกสืบเนื่องมาจากใบจองตาม มาตรา ๓๐ และ มาตรา ๓๓ ห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นในกรณี ดังต่อไปนี้ (ห้ามโอน)
๑. ถ้ากรณีที่ได้ออกใบจองในหรือหลัง วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ห้ามโอนภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (ห้ามโอน ๑๐ปี)
๒. ถ้าเป็นกรณีที่ได้ออกใบจองก่อนวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เฉพาะที่รัฐให้การช่วยเหลือในด้านสาธารณูปโภคและอื่นๆ เนื่องจากการจัดที่ดินห้ามโอนภายในกำหนดห้าปี นับแต่วันได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (ห้ามโอน ๕ปี)
*** ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บัคับแก่กรณีที่
- ที่ดินนั้นตกทอดทางมรดก
- ที่ดินนั้นโอนให้แก่ทบวง การเมือง องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยจัดตั้งองค์การของรัฐบาลรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ
- ที่ดินนั้นโอนให้แก่สหกรณ์เพื่อชำระหนี้โดยได้รับอนุมัติจากนายทะเบียนสหกรณ์
หมายเหตุ**** ภายในกำหนดเวลาห้ามโอนตามวรรคหนึ่ง ที่ดินนั้นไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี (ห้ามบังคับคดี)
ดังนั้น โฉนดหลังแดงนี้ ไม่สามารถซื้อหรือจะซื้อจะขายหรือโอนทางทะเบียนได้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาห้ามโอน (นับตั้งแต่วันออกโฉนด ไม่ใช่วันได้ใบจอง) แต่เอาไปค้ำประกันหนี้เงินกู้ได้ แต่ก็ไม่อยู่ในกรอบหรือเข้าข่ายการบังคับคดีได้ คือถ้าลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้ได้ เจ้าหนี้ไม่สามารถที่จะบังคับให้ลูกหนี้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้ให้ได้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาห้ามโอนและ การดำเนินการนิติกรรมใดๆ ก่อนครบระยะเวลาห้ามโอนตาม ที่มีการบัญญัติไว้ ในการดำเนินการนั้นเป็น “โมฆะ”
คำพิพากษาฎีกา ประกอบการพิจารณาว่าด้วยเรื่อง (โฉนดหลังแดง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3393/2525
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 มีเจตนารมณ์จะปกป้องราษฎรให้มีที่ดินไว้ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปี
ดังนั้น การที่โจทก์กับผู้มีสิทธิ
ในที่ดินทำสัญญาอันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่ดินโดยส่งมอบ
การครอบครองให้แก่กันภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอน
แม้จะเรียกว่าสัญญาจะซื้อขายและระบุในสัญญาว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนแล้ว
ก็เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้าม ชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญานี้จึงเป็นโมฆะ
และถึงแม้ต่อมา จะมีการยกเลิกความในมาตรา 31 มิให้ใช้บังคับกับที่ดินในคดีนี้
ก็ตามก็ไม่ทำให้นิติกรรมที่เป็นโมฆะแล้วนั้นกลับสมบูรณ์ได้อีกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3345/2525
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3393/2525
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 มีเจตนารมณ์จะปกป้องราษฎรให้มีที่ดินไว้ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปี ดังนั้น การที่โจทก์กับผู้มีสิทธิ ในที่ดินทำสัญญาอันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่ดิน โดยส่งมอบการครอบครองให้แก่กันภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอน แม้จะเรียกว่าสัญญาจะซื้อขายและระบุในสัญญาว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนแล้ว ก็เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้าม ชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญานี้จึงเป็นโมฆะ และถึงแม้ต่อมา จะมีการยกเลิกความในมาตรา 31 มิให้ใช้บังคับกับที่ดินในคดีนี้ ก็ตามก็ไม่ทำให้นิติกรรมที่เป็นโมฆะแล้วนั้นกลับสมบูรณ์ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2532
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6592/2537
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 113 เดิม 150 456
1367 ประมวลกฎหมายที่ดิน ม.31 31 ป.พ.พ. ม.113
ม.150 ม.456 ม.1367
ป.ที่ดิน
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากนาง จ.
ภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอน การซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113(เดิม)
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะทำสัญญา แม้นาง
จ.จะสละสิทธิครอบครองก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้สิทธิครอบครอง จำเลยที่ 3 ซึ่งได้รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่
1 และที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองเช่นเดียวกัน
โดยถือหลักว่า ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางจ.
หลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายแล้ว
โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2537
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1382 ประมวลกฎหมายที่ดิน 31 ป.พ.พ. ม.1382 ป.ที่ดิน ม.31
แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท
ผู้คัดค้านได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่วันทำสัญญา
แต่ที่ดินพิพาทมีข้อบังคับห้ามโอนภายใน 10 ปี
นับแต่วันที่ผู้คัดค้านได้รับโฉนดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 31 บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนาจะปกป้องราษฎรให้มีที่ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อย 10
ปี
และภายในระยะเวลาดังกล่าวทางราชการได้ควบคุมที่ดินนั้นอยู่ยังไม่ปล่อยให้เป็นสิทธิเด็ดขาดแก่ผู้ครอบครองจนกว่าจะพ้นระยะเวลาห้ามโอนผู้คัดค้านจึงไม่อาจสละหรือโอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องได้
ผู้ร้องจะเอาระยะเวลาการครอบครองซึ่งอยู่ภายในข้อบังคับห้ามโอนกรรมสิทธิ์มารวมคำนวณเป็นระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1382 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2537
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 150 113 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.249 ประมวลกฎหมายที่ดิน
ม.31 249 31 ป.พ.พ. ม.150 ม.113
ป.วิ.พ. ป.ที่ดิน
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)
ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนภายในสิบปีตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 อันเป็นการห้ามโอนโดยเด็ดขาด การที่โจทก์ที่ 1 ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่
2 ไม่ทำให้โจทก์ที่ 2 ได้สิทธิครอบครองในที่ดินแต่อย่างใดนั้น
เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้เป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 249 โจทก์ที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่
2เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2530 แม้ตามสารบัญจดทะเบียนจะมีข้อความว่าห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา 31
แห่งประมวลกฎหมายที่ดินนับแต่วันที่ 15 มกราคม
2523 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นก็ตามแต่ต่อมามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน(ฉบับที่
2) พ.ศ. 2521 มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 31แห่งประมวลกฎหมายที่ดินที่ใช้อยู่เดิม
จากการห้ามโอนภายในสิบปีให้ยกเลิกเป็นการห้ามโอนมีกำหนดห้าปี ดังนั้น
ข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 เดิมจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับในคดีนี้ได้เพราะคดีนี้โจทก์ที่
1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 เมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนภายในห้าปีแล้ว โจทก์ที่ 2จึงได้สิทธิครอบครองที่พิพาท
บทความและเรียบเรียง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น