จากสถานการณ์ที่เราๆท่านๆ
เผชิญอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในอากาศตามเมืองกรุง โรคระบาด Covid-19
รวมทั้งปัญหาทางสังคมในเมือง ที่ต่างทำให้คนในเมืองเริ่มสนใจการทำเกษตรมากยิ่งขึ้น
สำหรับเรื่องการทำการเกษตรกับประเทศไทยนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมายาวนาน และยิ่งมาเจอปัญหาสิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ที่ทำให้คนสนใจมาทำการเกษตรมากยิ่งขึ้น
Farmforrent.blogspot.com จึงอยากแนะนำสำหรับคนที่คิดจะทำการเกษตรแบบจริงๆจังๆ
ทั้งที่มีพื้นฐานมาบ้าง หรือไม่มีพื้นฐานอะไรมาเลย
เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับใช้กับแปลงเกษตรและมุมมองทางความคิดของตัวท่านเองที่มีต่อการทำการเกษตร
6 ขั้นตอนของการเริ่มทำเกษตรแบบยั่งยืน
1) ทำความเข้าใจกับพื้นที่ที่ท่านกำลังจะทำการเกษตร
ถือได้ว่าเป็นหัวข้อแรกของสิ่งที่คนทำการเกษตรต้องพิจารณาเลยที่เดียว และว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนทำเกษตรต้องรู้เลยว่าพื้นที่ของตัวท่านเหมาะที่จะปลูกอะไร เพราะต้องคำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศและปัจจัยต่างๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่แต่ละภูมิภาคก็มีลักษณะทางกายภาพไม่เหมือนกัน และนี้คือปัจจัยหลักที่คนทำการเกษตรต้องทราบเป็นอันดับแรก
2) ความตั้งใจของผู้ที่จะทำการเกษตร (มีความมุ่งมั่นมากพอที่จะทำให้สำเร็จ)
เนื่องมาจากการทำงานเกษตร
ต้องเอาใจใส่ ไม่มีวันหยุดและต้องต่อสู้กับแดด กับฝน
ซึ่งไม่สามารถที่จะคาดเดาสถานะการณ์ว่าวันนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
และต้องหมั่นดูแล เช่น รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พวนดิน แต่งกิ่ง เป็นต้น
เพราะกิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้พืชผลผลิตที่ได้ออกมาดีพอที่จะนำไปแข่งขันในตลาด
(จงถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า พร้อมที่จะรับเรื่องนี้ได้หรือไม่)
3) ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของต้นทุนของการทำการเกษตร
เนื่องจากการทำการเกษตรมีต้นทุนค่อนข้างเยอะตั้งแต่
การทำโรงเรือน การทำระบบส่งน้ำ การลงทุนซื้อเมล็ดพันธุ์
ซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการเพราะปลูก ถ้าทำค่อนข้างใหญ่
ก็จะมีในเรื่องการว่าจ้างคนงานมาช่วย ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่จะทำการเกษตรควรศึกษาข้อมูลในเรื่องต้นทุนที่จะต้องจ่ายและประเมินระยะเวลาพืชผลทางการเกษตรเมื่อออกสู่ตลาดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการเพราะปลูกนานเท่าไหร่และราคาของพืชผลทางการเกษตรมีราคาอยู่ในช่วงไหน
พอจะคุ้มกับเม็ดเงินที่ได้ลงไปหรือไม่
4) ควรศึกษาหาข้อมูลในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเกษตร
ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่คนทำการเกษตรต้องรู้และต้องทำการบ้านทุกครั้งก่อนที่ผลผลิตทางการเกษตรจะทำการเก็บเกี่ยว
เพราะต้องดูปัจจัยทางการตลาด ปริมาณผลผลิตพืชชนิดนั้นๆที่เข้าสู่ตลาด
เพราะมีผลต่อราคาสินค้าของผลผลิตพืชชนิดนั้นๆ เพราะ ถ้าความต้องการของผู้บริโภคน้อยแต่ผลผลิตออกมามาก
ราคาก็ไม่ดี แต่ถ้าความต้องการมากแต่ผลิตได้น้อยราคาพืชผลทางการเกษตร ก็ดี
ทั้งนี้ควรจะศึกษาในเรื่องช่องทางการค้า (on-line) และในเรื่องของการขนส่งประกอบด้วย
(Logistic) เพราะปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการทำกำไรและผลของต่อการขาดทุน
ของชาวเกษตรกร แต่ถ้ามีการศึกษามาพอสมควรก็จะช่วยลดช่องว่างเรื่องนี้ได้
5) ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้อยากรู้ อยากศึกษาตลอดเวลา
ปฎิเสธไม่ได้ว่าโลกที่เราอยู่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
โลกของการเกษตรก็เช่นเดียวกันที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของ
เทคโนโลยีพันธุกรรม เทคโนโลยีเครื่องจักรทางการเกษตร การใช้เครื่องไม้เครื่องมือในเรื่องของการพยากรณ์อากาศ
เพื่อนำมาประเมินในเรื่องของผลผลิตและผลกระทบในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกษตรกรรุ่นใหม่ ควรหันมาศึกษาเพิ่มพูนความรู้
เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ในการพัฒนา และลดความเสี่ยงต่อปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้
6) หาพันธมิตรการรวมกลุ่มของเพื่อนเกษตรกร
เชื่อแน่นอนว่าเมื่อท่านเริ่มทำการเกษตรท่านจะต้องมีเพื่อนที่ต้องพูดคุยกันในเรื่องต่างๆในการทำเกษตร
ไม่ว่าจะเรื่องการเพราะปลูก กิจกรรมต่างๆที่มีข่าวสารจากทางการหรือหน่วยงานเอกชน
เพราะข้อดีของการรวมตัวกันของเกษตรกรนั้น นับเป็นเรื่องที่สาคัญต่อการพัฒนาการเกษตร เพราะการรวมตัวกันของเกษตรกร นอกจากจะเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรอง ทางด้านการซื้อวัตถุดิบและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ทางด้านปัจจัยการผลิตและการจัดจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังนำมาซึ่งความร่วมมือกันของหมู่คณะ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มเพื่อมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และการแก้ปัญหา ที่จะสามารถพึ่งตนเองได้
และนำไปสู่ ความเข้มแข็งของชุมชนในท้องถิ่นนั้นๆ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ต้องรู้ สำหรับคนทั่วไปที่สนใจหันมาทำเกษตรควรให้ความสำคัญ และ ศึกษาข้อมูลต่างๆเพื่อนำข้อมูลที่ได้มาตัดสินใจ ที่จะได้วางแผนและหาแนวทางในการดำเนินกิจกรรมในโอกาสต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น